การทำบัญชีเล่มเดียวให้ถูกต้องสำหรับ ธุรกิจซื้อมาขายไปในประเทศ
เมื่อกรมสรรพากรได้ออกมาตรการบัญชีเล่มเดียว การยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ SMEs สำหรับกิจซื้อมาขายไปในประเทศที่สนใจที่จะปฏิบัติตาม ในการทำบัญชีเล่มเดียวให้สรรพากรยอมรับ ซึ่งต้องปฏิบัติตามหลักการบัญชี มาตรฐานบัญชี และภาษีอากให้ครบถ้วนถูกต้อง เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด การจัดทำบัญชีเล่มเดียวจะต้องสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของกิจการซึ่งจะทำให้กิจการได้สิทธิได้รับยกเว้นไม่ถูกตรวจสอบบัญชีย้อนหลัง และยังได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลอีกด้วย
ดังนั้นสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจซื้อมาขายไปในประเทศควรพิจารณาการจัดทำบัญชีเล่มเดียวเพื่อความถูกต้องสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของกิจการเพื่อให้สรรพากรยอมรับ ดังนี้
1.การทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักการบัญชี มาตรฐานการบัญชี
1.1 ผู้ทำบัญชี
มีคุณสมบัติ และเงื่อนไข ตามประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
คัดเลือกผู้ทำบัญชีที่ที่มีประสบการณ์ มีประสิทธิภาพการทำงานด้านบัญชีซื้อมาขายไปทั้งระบบ
จัดให้มีการจัดทำบัญชีตั้งแต่เริ่มประกอบธุรกิจ ตามที่ระบุในการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
จัดทำบัญชีให้ครบถ้วนและถูกต้องสอดคล้องกับสภาพาพข้อเท็จจริงของกิจการและตามที่กฎหมายกำหนด
ควบคุมดูแลการทำบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชี และตรงตามข้อเท็จจริง
1.2 มีระบบบัญชีที่ดีได้แก่
จะต้องมีการจัดทำบัญชีให้สอดคล้องไปกับธรรมชาติของการปฏิบัติงาน และการดำเนินธุรกิจที่แท้จริงระบบต่างๆ เพื่อลดความผิดพลาด
ต้องเป็นระบบบัญชีที่มีการควบคุมภายในอย่างดีเยี่ยมสามารถป้องกันการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ
ระบบบัญชีที่ดีจะต้องมีข้อมูลที่มีความถูกต้องสอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริงของกิจการและสามารถนำเสนอรายงานต่อผู้บริหารได้ตามระยะเวลาที่กำหนด สามารถวัดผลการดำเนินงานเป็นรายโครงการ ได้อย่างถูกต้อง เช่น การบันทึกรายได้ ต้นทุน ค่าใช้จ่ายดำเนิน งาน ทั้งนี้รวมถึงการวัดมูลค่าทั้งหมดทางด้านภาษี
1.3 มีระบบการจัดเก็บเอกสารที่ต้องใช้ประกอบในการบันทึกบัญชี ให้สอดคล้องกับระบบบัญชี
จัดให้มีเอกสารเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการบันทึกบัญชีให้ถูกต้องและครบถ้วน
ส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการบันทึกบัญชีให้ผู้จัดทำบัญชี เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบส่งของใบสำคัญรับ-จ่าย ฯลฯถูกต้องครบถ้วนเพื่อให้บัญชีที่จัดทำขึ้นให้สามารถแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงินหรือการเปลี่ยนแปลง ฐานะการเงินที่เป็นอยู่ตามความเป็น จริงและตาม มาตรฐานการบัญชี
ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารบัญชีเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันปิดบัญชี โดยให้จัดเก็บบัญชีแยกประเภท และเอกสารบัญชี ณ สถานที่ประกอบุรกิจ
1.4 ปิดบัญชีและจัดทำงบการเงิน
ต้องปิดบัญชีครั้งแรกภายใน 12เดือน นับวันเริ่มทำบัญชี และปิดบัญชีครั้งต่อไปทุกรอบ 12 เดือน นับแต่วันปิดบัยชีครั้งก่อน
จัดทำงบการเงิน โดยมีรายการย่อตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าประกาศกำหนด
ต้องจัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดย CPA
(เว้นแต่ งบการเงินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่มีทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท สินทรัพย์รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท และรายได้รวมไม่เกิน 30 ล้านบาท ต้องมีTA ตรวจสอบงบการเงิน)
1.5 การยื่นงบการเงินที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนที่ตั้งขึ้น ตามกฎหมายไทย ต้องนำส่งงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและแสดงความเห็นแล้วต่อนาย ทะเบียนภายใน 5 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี
บริษัทจำกัด
ต้องนำงบการเงินที่ผู้สอบบัญชีตรวจสอบแล้วเสนอเพื่ออนุมัติต่อที่ประชุมใหญ่ภายใน 4 เดือนนับแต่วันปิดบัญชี
ต้องนำส่งงบการเงินต่อนายทะเบียนภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ได้รับอนุมัติในที่ประชุมใหญ่
ต้องนำส่งสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในเวลาที่ประชุม (บอจ.5) ต่อนายทะเบียนภายใน 14วันนับแต่วันประชุมสามัญผู้ถือหุ้น
1.6 การยื่นงบการเงิน และการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล ( ภ.ง.ด.50 ) ที่กรมสรรพากร
ภายใน 150 วัน นับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี
2.การทำบัญชีให้ถูกต้อง ตามประมวลรัษฎากร
2.1 จะต้องศึกษาการบริหารจัดเก็บภาษีอากรยุคใหม่ของกรมสรรพากร กรมสรรพากรได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำ ระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ National e-Payment Master Plan 5 โครงการดังนี้
โครงการที่ 1 โครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงิน ได้แก่ โครงการบริการพร้อมเพย์ (PromptPay)
พร้อมเพย์เป็นทางเลือกใหม่ในการโอนเงินและรับเงินของประชาชน ทำให้มีความสะดวกมากขึ้นไม่ต้องขอเลขที่บัญชีของผู้รับโอนค่าธรรมเนียมถูกกว่าบริการโอนเงินข้ามธนาคารแบบเดิม
มีเป้าหมายรองรับการโอนเงินผ่าน 5 ประเภท ID ได้แก่ เลขประจ าตัวบัตรประชาชน, หมายเลขโทรศัพท์มือถือ, เลขที่บัญชีธนาคาร, กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet ID) และ อีเมลล์(e-Mail Address)
ลดข้อจำกัดของระบบปัจจุบัน และเพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้แก่ภาคส่วนต่าง ๆ
โครงการที่ 2 บัตรอิเล็กทรอนิกส์เป็นการขยายการใช้บัตร
ขยายการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ และ ขยายอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
ช่วยให้ประชาชน ภาคธุรกิจ และภาครัฐ สามารถเข้าถึงและใช้บริการชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นสื่อการชำระเงินที่สะดวก พกพาง่าย และประชาชนคุ้นเคยมากกว่าสื่ออื่น ๆ
ช่วยลดการใช้เงินสดในชีวิตประจำวันของประชาชน ลดภาระในการดูแลและตรวจนับเงินของผู้รับเงิน ลดต้นทุนในการบริหารจัดการและขนส่งเงินสดของภาคธนาคาร
โครงการที่ 3 ภาษีอิเล็คทรอนิกส์ VAT, WHT e-Tax Invoice
บูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ และ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำและนำส่งเอกสารพาณิชย์
อำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษีในการจัดการเรื่องภาษีแก่ผู้เสียภาษีอำนวยความสะดวกและรวดเร็วในการชำระภาษี และคืนเงินภาษีผ่านบริการ PromptPay
ลดต้นทุน ระยะเวลา และขั้นตอนในการจัดทำเอกสารและการชำระภาษี
ยื่นแบบแสดงรายการภาษีได้สะดวกรวดเร็วผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
จัดทำและจัดส่งใบกำกับภาษีและใบรับทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อรองรับการค้าแบบไร้พรมแดน
โครงการที่ 4 e-Payment ภาครัฐ สวัสดิการ/เงินช่วยเหลือการรับจ่ายเงินภาครัฐจ่ายสวัสดิการภาครัฐแก่ประชาชนผ่านเลขบัตรประชาชนที่ได้ลงทะเบียนไว้
พัฒนาการรับจ่ายเงินภาครัฐด้วย e-Payment
บูรณาการฐานข้อมูลกลางในการให้ความช่วยเหลือประชาชน รวมถึงผู้มีรายได้น้อย
โครงการที่ 5 ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้และมาตรการจูงใจส่งเสริมการเข้าสู่e-Payment
ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชน เพื่อส่งเสริมการใช้ e-Payment
ภาครัฐออกมาตรการจูงใจ เพื่อกระตุ้นการใช้ e-Payment แทนเงินสดและเช็ค จะต้องทำบัญชีธุรกิจซื้อมขายไปให้ถูกต้องครบถ้วนในเรื่องของภาษีอากรการรับรู้รายการทางบัญชี ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 2 (ปรับปรุง 2558) เรื่องสินค้าคงเหลือ
1.ประเภทของสินค้าคงเหลือ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
กรณีธุรกิจซื้อมาขายไป ได้แก่ สินค้าที่กิจการซื้อมา และถือไว้เพื่อขายต่อ
กรณีกิจการผลิตเพื่อขาย ได้แก่ สินค้าสำเร็จรูป สินค้าระหว่างผลิต วัตถุดิบ หรือวัสดุเพื่อใช้ในการผลิต
2.ต้นทุนของสินค้าคงเหลือ(ราคาทุน)ประกอบด้วย DM+DL+OH
ต้นทุนในการซื้อ (Cost of Purchase หรือ Direct Materials)-ต้นทุนแปลงสภาพ (Cost of Conversion) เป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการผลิต ได้แก้ ค่าแรงทางตรง (Direct Laor) ค่าใช้จ่ายในการผลิต (Overheads)
ต้นทุนอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อให้สินค้าคงเหลือนั้นอยุ่ในสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
3.การวัดมูลค่าสินค้าคงเหลือ
สินค้าคงเหลือต้องวัดมูลค่าด้วยราคาทุนหรือมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ แล้วแต่มูลค่าใดจะต่ำกว่า
4.การรับรู้เป็นต้นทุน
เมื่อมีการขายสินค้าคงเหลือออกไป มูลค่าตามบัญชีของสินค้าคงเหลือนั้นต้องรับรู้เป็นต้นทุนขายในงวดที่มีการรับรู้รายได้ที่เกี่ยวข้อง
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
1.รับรู้รายได้ ต้นทุนขายสินค้า และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ตามเกณฑ์สิทธิ์ (มาตรา 65 )
2.ราคาสินค้าคงเหลือในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้คำนวณตามราคาทุนหรือราคาตลาด แล้วแต่ราคาใดจะน้อยกว่า และให้ถือราคานี้เป็นสินค้าคงเหลือยกมาสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีใหม่ด้วย(มาตรา 65 ทวิ(6))
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
1.กรณีซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบ
ผู้จ่ายเงิน(ผู้ซื้อ) จ่ายสำหรับหารซื้อสินค้า ในกรณีดังต่อไปนี้ ให้แก่ผู้รับเป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 0.75
ประเภทสินค้า ประเภทผู้ซื้อ(ผู้จ่ายเงินได้)
ยางแผ่นหรือยางชนิดอื่นอันผลิตขึ้นหรือได้มาจากส่วนใดๆของต้นยางพารา ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากยางดังกล่าว ไม่ว่าจะใช้ยางนั้นเป็นส่วนใหญ่หรือไม่
มันสำปะหลัง ผู้ส่งออก
ปอ ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตกระสอบป่าน ผ้ากระสอบป่าน ด้ายทอกระสอบป่าน เชือกหรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ที่ผลิตจากปอ ไม่ว่าจะใช้ปอนั้นเป็นส่วนใหญ่หรือไม่
ข้าวโพด ผู้ส่งออกหรือผุ้ผลิตน้ำมันพืชหรืออาหารสัตว์ทุกชนิด
อ้อย ผู้ผลิตน้ำตาลทุกชนิด
เมล็ดกาแฟ ไม่ว่าจะขั้วแล้วหรือไม่ ผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจากกาแฟ
ผลปาล์มน้ำมันไม่ว่าเป้นส่วนใดของผล ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มหรือผู้ผลิตน้ำมันพืช
ข้าว(หมายความว่า ข้าวสาร ปลายข้าว ข้าวกล้อง ปลายข้าวกล้อง ข้าวนึ่ง และปลายข้าวนึ่งทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นข้างจ้าวหรือข้าวเหนียว) ผู้ส่งออก
2.กรณีจ่ายค่าแรงทางตรง
2.1. กรณีจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานของกิจการตามมาตรา40(1) โดยพิจารณาเนื้อหาการจ้างในสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือค่าจ้างทำของตามมาตร40(2) ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย (มาตรา50(1)) ดังนี้
ให้คำนวณหาเงินได้พึงประเมินเสมือนหนึ่งได้จ่ายทั้งปี โดยให้นำเงินได้พึงประเมินที่จ่ายแต่ละคราวคูณด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย(ต่อปี)
ให้นำจำนวนเงินได้พึงประเมินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปีตาม(1)มาหักค่าใช้จ่าย/ค่าลดหย่อน และคำนวณภาษีตามบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคลธรรมดาเป็นเงินภาษีทั้งสิ้น
ให้นำจำนวนเงินภาษีทั้งสิ้นที่คำนวณได้ตาม(2) มาหารด้วยจำนวนคราวที่ต้องจ่าย(ต่อปี)ตาม(1) ได้ผลลัพธ์ เป็นจำนวนเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษี ณ ที่จ่าย ในแต่ละคราวที่จ่ายเงินนั้น
2.2. กรณีจ่ายค่าจ้างทำของตามมาตรา40(6)(7) และ(8)ให้แก่บุคคลอื่นหรือนิติบุคคลโดยพิจารณาเนื้อหาการจ้างในสัญญาจ้างทำของตามมาตรา587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์
ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ3.0(ตามมาตรา 3เตรส และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป.4/2528ฯ ข้อ8)
3.กรณีจ่ายค่าใช้จ่ายในการผลิต ตามมาตรา40(6)(7) และ(8) ที่มีลักษณะเป็นค่าจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 3.0
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
1.กรณีซื้อสินค้าวัตถุดิบจากผู้ขายที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกิจการต้องเรียกใบกำกับภาษีจากผู้ขาย โดยวันที่ในใบกำกับภาษีต้องระบุวันที่ตามวันรับมอบสินค้า หรือวันที่ได้ชำระเงิน หรือวันที่ออกใบกำกับภาษี แล้วแต่กรณีใดจะเกิดก่อน
2. กรณีจ่ายค่าบริการให้แก่ผู้ให้บริการที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกิจการต้องเรียกใบกำกับภาษีจากผู้ให้บริการ โดยวันที่ในใบกำกับภาษีต้องระบุวันที่ตามวันรับมอบสินค้า หรือวันที่ได้ชำระเงิน หรือวันที่ออกใบกำกับภาษี แล้วแต่กรณีใดจะเกิดก่อน
3. จัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม (มาตรา87 และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่89)) ได้แก่
3.1. รายงานภาษีซื้อ
ให้ลงรายการภายใน 3 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับใบกำกับภาษี
3.2. รายงานสินค้าคงเหลือ และวัตถุดิบ (ไม่รวมถึงกิจการให้บริการ)
ให้ลงรายการภายใน 3 วันทำการนับแต่วันที่รับมาซึ่งสินค้าและวัตถุดิบ ตามปริมาณสินค้าและวัตถุดิบที่รับมา โดยจัดให้มี เอกสารประกอบการลงรายงานเป็นใบสำคัญรับสินค้า
อากรแสตมป์
กรณีค่าจ้างอื่นที่เกี่ยวกับสินค้าคงเหลือ หากมีการทำสัญญาว่าจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์
ผู้รับจ้างต้องเสียอากรแสตมป์ ตามลักษณะแห่งตราสารที่ 4 จ้างทำของโดยคำนวณจากทุก 1,000 บาทหรือเศษของบ 1,000 บาทแห่งสินจ้างที่กำหนดไว้ ต้องติดอากรแสตมป์ 1 บาท
ที่มาของข้อมูล
1.คู่มือภาษีอากร เรื่องจัดทำบัญชีอย่างไร ให้เป็นธรรมแก่ผู้เสียภาษี โดยกรมสรรพากร
2.มาตรการบัญชีเล่มเดียว โดยกรมสรรพากร
บริษัท บัญชีสยามออนไลน์ จำกัด
(เดิมบริษัท สำนักงาน เอ.ที.เอส.การบัญชี จำกัด)
รับจดทะเบียนบริษัท รับทำบัญชี ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ รับตรวจสอบบัญชี อบรมและฝึกงานบัญชี
สนใจ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
อาจารย์ปัญญา ศุกลินวนิช โทร 065-449-1925
คุณฐิติรัชต์ รังสรรค์รุ่งกิจ โทร 096-656-9162
Tel : 02-9640061, 02-9640062
Website : www.atsaccounting.co.th
E-mail : p.sukalinwanit@gmail.com